เมนู

มาถึงคนพาลผู้นั้นเอง เหมือนกับละอองละ-
เอียดที่บุคคลซัดไปทวนลมฉะนั้น.

จบ สาลิยชาดกที่ 7

อรรถกถาสาลิยชาดกที่ 7


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
คำว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตไม่อาจเพื่อแม้จะกระทำความ
สะดุ้งแก่พระพุทธองค์ได้ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
ยฺวายํ สาลิยจฺฉาโป ดังนี้.
จริงอยู่ ในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตนี้ก็ไม่อาจเป็นผู้แม้จะ
กระทำความสะดุ้งแก่เราได้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในยินดีมาสาธก ดังต่อ
ไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลกุฎุมพีในหมู่บ้าน ใน
คราวมีอายุยังน้อย เล่นอยู่ที่โคนตนไทรใกล้ประตูบ้านกับพวกเด็กที่
เล่นฝุ่นกัน. ครั้งนั้นมีหมอทุรพลคนหนึ่ง ไม่ได้การงานอะไรในบ้าน
จึงออกไปถึงที่นั้น เห็นงูตัวหนึ่งนอนหลับโผล่หัวออกมาจากระหว่างค่า
คบไม้ จึงคิดว่า เราไม่ได้อะไรในบ้าน เราจักลวงเด็กพวกนี้ให้งูกัด
เเล้วเยียวยารักษา คงจะได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งทีเดียว จึงได้กล่าวกะพระ-
โพธิสัตว์ว่า ถ้าเธอจะพบลูกนกสาลิกา เธอจะจับเอาไหม. พระโพธิ-

สัตว์กล่าวว่า จ้ะ ฉันจะจับเอา. หมอกล่าวว่า จงดู นั่นลูกนกสาลิกา
มันนอนอยู่ระหว่างค่าคบไม้. พระโพธิสัตว์นั้นไม่รู้ว่านั้นเป็นงู จึงขึ้น
ไปยังต้นไม้ จับที่คอมัน พอรู้ว่าเป็นงูจึงไม่ให้มันหดเข้าไป จับไว้
มั่นแล้วรีบเหวี่ยงไป. งูนั้นปลิวไปตกลงที่คอหมอ รัดคออยู่กัดเสียง
ดังกรุ๊บ ๆ ทำให้หมอนั้นล้มลงตรงที่นั้นแล้วเลื้อยหนีไป. คนทั้งหลาย
พากันห้อมล้อม. พระมหาสัตว์เมื่อจะแสดงธรรมแก่บริษัทผู้ประชุม
พร้อมกันอยู่ จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
ผู้ใดลวงให้เราจับงูเห่าว่า นี่ลูกนก
สาลิกา ผู้นั้นตามพร่ำสอนสิ่งที่ลามก ถูกงู
นั้นกัดตายแล้ว.
คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่ฆ่าเอง
และผู้ไม่ใช้ให้คนอื่นฆ่าตน คนนั้นถูกฆ่าแล้ว
นอนตายอยู่. เหมือนกับบุรุษผู้ถูกงูกัดตาย
แล้วฉะนั้น.
คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่เบียด-
เบียนตน และไม่ฆ่าตน คนนั้นถูกฆ่าแล้ว
นอนตายอยู่ เหมือนกับบุรุษผู้ถูกงูกัดตาย
แล้วฉะนั้น.
บุรุษผู้กำฝุ่นไว้ในมือ พึงซัดฝุ่นไปใน

ที่ทวนลม ละอองฝุ่นนั้นย่อมหวนกลับมา
กระทบบุรุษนั้นเอง เหมือนบุรุษผู้ถูกงูกัดตาย
แล้วฉะนั้น.
ผู้ใดประทุษร้ายคนผู้ไม่ประทุษร้ายเป็น
คนบริสุทธิ์ ไม่มีความผิดเลย บาปย่อมกลับ
มาถึงคนพาลนั้นเอง เหมือนกับละอองละ-
เอียดที่บุคคลซัดไปทวนลมฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยฺวายํ ตัดเป็น โย อยํ. อีก
อย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า สปฺเปนยํ ความว่า ผู้
นี้ใด ถูกงูนั้นกัดแล้ว. บทว่า ปาปานุสาสโก แปลว่า ผู้พร่ำสอน
สิ่งที่ลามก. บทว่า อหนฺตรํ แปลว่า ผู้ไม่ฆ่าเอง. บทว่า อหนฺตารํ
แปลว่า ผู้ไม่ให้คนอื่นฆ่า. บทว่า เสติ ได้แก่ ย่อมนอนตาย. บทว่า
อฆาเตนฺตํ แปลว่า ไม่ใช้ให้คนอื่นฆ่า. บทว่า สุทฺธสฺส ได้แก่
ผู้ไม่มีความผิด. บทว่า โปสสฺส ได้แก่ สัตว์. แม้คำนี้ว่า อนงฺค-
ณสฺส
ท่านกล่าวหมายเอาความเป็นผู้ไม่มีความผิดเหมือนกัน. บทว่า
ปจฺเจติ ความว่า ย่อมกลับถึงเป็นสิ่งที่เห็นสมกับกรรม.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า หมอทุรพลในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต ส่วนเด็ก
ที่เป็นบัณฑิต คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสาลิยชาดกที่ 7

8. ตจสารชาดก


คนฉลาดย่อมไม่แสดงอาการให้ศัตรูเห็น


[788] พวกเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู ถูก
เขาจองจำด้วยท่อนไม้ไผ่แล้ว ยังเป็นผู้มี
สีหน้าผ่องใส เพราะเหตุไรพวกเจ้าจึงไม่
เศร้าโศกเล่า.
[789] บุคคลไม่พึงได้ความเจริญแม้แต่เล็ก
น้อย ด้วยความเศร้าโศกและความร่ำรำพัน
พวกศัตรูรู้ว่าบุคคลนั้นเศร้าโศก ได้รับความ
ทุกข์ ย่อมดีใจ.
[790] ส่วนบัณฑิตผู้ฉลาดในการวินิจฉัยความ
ย่อมไม่สะทกสะท้าน เพราะอันตรายที่จะ
เกิดขึ้นไม่ว่าเมื่อไร พวกศัตรูได้เห็นหน้าของ
บัณฑิตนั้น อันไม่เปลี่ยนแปลง เป็นเหมือน
แต่ก่อนย่อมเกิดความทุกข์.
[791] บุคคลจะพึงได้ประโยชน์ในที่ใด ด้วย
ประการใด ๆ เช่นการร่ายมนต์ การปรึกษาผู้รู้
การกล่าววาจาอ่อนหวาน การให้สินบน หรือ